รับประกันเพ้นท์เล็บแล้วสวยติดทนด้วย 6 เคล็ดลับ

   

          อุปสรรคน่ากวนใจประการหนึ่งที่คุณผู้หญิงที่ชอบเพ้นท์เล็บต้องเจอบ่อยๆ ก็คือสีของยาทาเล็บที่ทาเอาไว้ลอกออกไปไวเหลือเกิน บางครั้งก็รวดเร็วในเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์ด้วยซ้ำ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมือและนิ้วเป็นอวัยวะของร่างกายที่มีส่วนร่วมแทบในทุกกิจกรรมประจำวันที่คุณทำ ทั้งหยิบทั้งจับข้าวของต่างๆ จึงทำให้ลายหรือสีสวยๆ บนเรียวเล็บของคุณอยู่ไม่คงทนด้วย เฮ้อ สวยอยู่ได้ไม่กี่วันเล็บที่ตั้งใจทำมาดีๆ ก็เสียไปอีกแล้ว แบบนี้ก็ต้องเสียเวลามาทาเล็บใหม่บ่อยๆ มีวิธีไหนจะให้ทาเล็บแล้วอยู่ได้นานๆ บ้างนะ …

 
        1. เลี่ยงการแช่น้ำนาน ๆ

          หากเล็บที่เพิ่งทามาใหม่ ๆ ต้องสัมผัสอยู่กับน้ำเป็นเวลานาน จะทำให้ผิวเล็บย่น และลอกไวกว่าเวลาอันควร นอกจากนี้เล็บที่โดนน้ำนาน ๆ และอ่อนตัวลง ก็จะส่งผลให้ความแข็งแรงของชั้นยาทาเล็บลดลงด้วย ฉะนั้นภายใน 1-2 วันหลังจากเพ้นท์เล็บมาใหม่ ๆ จึงควรเลี่ยงการนอนแช่น้ำ การล้างจาน ซักผ้า หรืองานที่มือต้องสัมผัสน้ำนาน ๆ หากเป็นไปได้ควรทำงานบ้านโดยใส่ถุงมือด้วยค่ะ 

        2. ตะไบเล็บก่อนการลงสี 

          ก่อนการเพ้นท์เล็บคุณย่อมต้องตัดเล็บให้ความรูปทรงและความยาวที่พอดี หลังจากขั้นตอนนี้ก็ต้องตะไบเล็บเสียก่อนจึงจะลงสียาทาเล็บได้ การตะไบเล็บจะช่วยเก็บขอบเล็บให้เรียบไม่บาดผิว ลดโอกาสเล็บฉีก และยังทำให้ได้งานเพ้นท์ที่ดูเนี้ยบและเพอร์เฟคท์มากขึ้น 

       3. ลงยาทาเล็บซ้ำ 2 ครั้ง 

          หลังจากทาเล็บชั้นแรกแห้งสนิทไปแล้ว เพื่อความคงทนไม่หลุดลอกง่าย ๆ ให้ลงยาทาเล็บสีเดิมซ้ำอีก 1-2 ครั้ง ภายใน 1-2 วันหลังจากการทำเล็บ เพื่อเป็นการย้ำสีให้สดและเพิ่มความคงทน คราวนี้รับรองเลยว่าเล็บที่คุณเพ้นท์มาจะอยู่สวยได้อีกนาน 

        4. ทาน้ำยาเคลือบเล็บทับทุกครั้ง

          หลังจากทาน้ำยาทาเล็บซ้ำครบสองครั้ง ดังที่แนะนำไปเบื้องต้นแล้ว ให้ถนอมสีเล็บต่อจากนั้นด้วยการทาน้ำยาเคลือบเล็บชนิดใส ซึ่งจะช่วยล็อกสีของยาทาเล็บไว้ไม่ให้เป็นรอยขูดขีดง่าย ๆ ทั้งยังเพิ่มความเงางามให้กับเล็บได้ด้วย โดยคุณสามารถทาน้ำยาเคลือบเล็บซ้ำได้ทุก ๆ 3-4 วัน ตราบเท่าที่เล็บเดิมยังไม่ถลอกหรือลอกออกไปเลยค่ะ 

        5. ทาแฮนด์ครีมเป็นประจำก่อนนอน 

          เล็บที่เพ้นท์มาสวย ๆ จะดูดีถึงขีดสุดได้ ก็ต่อเมื่อมือและนิ้วไม่แห้งกร้าน มีความนุ่มชุ่มชื่นเป็นอย่างดี ซึ่งคุณสามารถบำรุงได้ด้วยการทาแฮนด์ครีมทุกเมื่อที่รู้สึกว่ามือแห้ง โดยเฉพาะยามก่อนนอนควรต้องทาแฮนด์ครีมทุกคืนเป็นประจำ เพราะช่วงเวลานี้ผิวของคุณจะได้รับการบำรุงจากแฮนด์ครีมได้มากที่สุด ต่างจากช่วงกลางวันที่ทาไปไม่เท่าไหร่ก็ต้องไปหยิบจับข้าวของอื่น ๆ รวมทั้งการล้างมือระหว่างวันที่จะทำให้สารบำรุงที่เคลือบอยู่หลุดไป 

        6. ดันขอบเล็บหลังการอาบน้ำ 

          การทาเล็บให้สวย น้ำยาทาเล็บจะต้องปกคลุมพื้นที่บนเรียวเล็บให้ได้ทั่วถึง คนที่มีหนังบริเวณฐานเล็บงอกออกมาคลุมเล็บไว้เยอะอาจมีปัญหา แต่ก็สามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ โดยหลังจากอาบน้ำเสร็จ ในขณะที่เล็บและผิวหนังยังนุ่มอยู่ ให้ใช้ที่ดันหนัง ค่อย ๆ ดันหนังตรงฐานเล็บให้ร่นลงไป เท่านี้ก็จะเผยผิวเล็บได้เต็มที่ ทำให้ทาเล็บได้สวยขึ้น อ้อ แต่ขอย้ำว่าวิธีนี้ให้ทำตอนที่ผิวหนังยังนุ่มอยู่เท่านั้นนะคะ ถ้ามือแห้งไม่ได้แช่น้ำมาก่อน อาจทำให้หนังฉีกได้ เจ็บไม่เบาเลยทีเดียวล่ะ 

.

.

          คราวนี้ใครอยากเพ้นท์เล็บให้สวยและอยู่ติดทนอยู่ได้นาน ไม่ต้องปวดหัวกับปัญหาเล็บลอก และการล้างการทาเล็บซ้ำบ่อยๆ อย่าลืมนำไปใช้กันดูนะคะ

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: http://women.kapook.com

มาแปลก! นักศึกษาจีนจัดงานศพให้ตัวเอง

              อยู่ดีไม่ว่าดี นักศึกษาจีนวัย 22 ปี อุตริจัดงานศพให้ตัวเอง แถมยังลงไปนอนแกล้งตายในโลงอีกต่างหาก เจ้าตัวบอกว่าอยากรู้ว่าบรรยากาศในงานศพของตัวเองจะเป็นอย่างไร

            รายงานข่าวแปลกจากเว็บไซต์เมโทร วันที่ 2 เมษายน ระบุว่า “เซิง เจี่ย” นักศึกษาสาววัย 22 ปี จากเมืองอู่ฮั่น มณฑลเหอเป่ย มีความคิดแผลงๆ หลังจากได้ไปร่วมงานศพของคุณตา เธอก็เกิดอยากจะรู้ว่าถ้าเธอตายไปบรรยากาศในงานศพของตัวเองจะเป็นอย่างไร และผู้คนที่มาร่วมงานจะอยู่ในอารมณ์แบบไหนกัน จึงได้จัดแจงจัดงานศพของตัวเองขึ้น หาซื้อโลงศพ จ้างช่างแต่งหน้าศพ จ้างคนมาไว้อาลัย เรียกว่าทำทุกอย่างเหมือนการจัดการงานศพทั่วๆ ไปเปี๊ยบ ติดแต่ว่านี่คือการตระเตรียมงานศพให้ตัวเองอยู่ต่างหาก เท่านั้นยังไม่พอ เซิง เจี่ย ยังสั่งพิมพ์การ์ดเชิญมางานศพแจกไปให้คนรู้จัก ทำเอาเพื่อนๆ กับครอบครัวช็อกไปตามๆ กัน

            “มีความคิดหนึ่งกวนใจฉันมาตลอด ทำไมผู้คนต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมากมายที่จะจัดงานศพให้กับผู้ที่จากไป ทั้งๆ ที่เขาไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกแล้ว” เซิง เจี่ย กล่าว

            เมื่อถึงกำหนดการ เซิง เจี่ย ที่ถูกแต่งหน้าให้ซีดเซียวดูคล้ายคนตายก็ลงไปนอนสงบนิ่งอยู่ในโลงศพที่ปูด้วยผ้าสีขาว ประดับประดาไปด้วยดอกไม้ และพิธีงานศพก็ดำเนินไปตามปกติเป็นเวลาเกือบ 1 ชั่วโมง ตั้งแต่ขบวนไว้อาลัย นำตุ๊กตาตัวโปรดมาวางให้ในโลง ไปจนกระทั่งการกล่าวไว้อาลัยผู้ตาย จนกระทั่งพิธีเสร็จสิ้นลง เซิง เจี่ย ก็ผุดลุกออกมาจากโลง แล้วมากล่าวความรู้สึกหลังจากได้ลองตายไปแล้วให้ผู้มาร่วมงานได้ฟัง

          เธอบอกว่าหลังจากได้ลองจัดงานศพของตัวเองดู ก็ทำให้รู้สึกว่าชีวิตที่มีอยู่มีค่ามากขึ้นกว่าเดิมอีกแน่ะ

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: http://hilight.kapook.com

ภาพประกอบจาก :: vnyeu.org

Tags: จัดงานศพ, จัดงานศพให้ตัวเอง, นักศึกษาจีน

พี่จีนเอาอีกแล้ว! เปิดตัว GooPhone i5S ตัดหน้า iPhone 5S

          หลังจากผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือยี่ห้อ GooPhone จากจีน เคยสร้างความฮือฮาด้วยการชิ่งเปิดตัว GooPhone i5 ออกมาตัดหน้า iPhone 5 ด้วยรูปลักษณ์ที่ละม้ายคล้ายกันมาครั้งหนึ่งแล้ว ล่าสุด ผู้ผลิตมือถือเจ้านี้ก็สร้างความฮือฮาอีกระลอก เมื่อได้เปิดตัว GooPhone i5S ออกมาตัดหน้า iPhone 5S กันอีกแล้วคร้าบบบบสาวกไอโฟนทั้งหลาย

          สำหรับสเปคของ GooPhone i5S นี้ แน่นอนว่าตรงตามข่าวลือและสเปคหลุดของ iPhone 5S เป๊ะๆ ด้วยหน้าจอขนาด 4 นิ้ว กล้องหลังความละเอียด 5 ล้านพิกเซล กล้องหน้า 1.3 ล้านพิกเซล ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 4.1.2 และรองรับ 3G ส่วนดีไซน์ตัวเครื่อง ก็ยาวๆ คล้ายกับ iPhone 5 เพราะว่ากันว่า iPhone 5S จะมีหน้าตาคล้ายกับ iPhone 5 นั่นแหละ ส่วนเรื่องราคาเปิดตัวนั้น GooPhone i5S เปิดตัวด้วยราคาประมาณ 4,300 บาท

          ทั้งนี้ สำหรับผู้ผลิตมือถือเจ้านี้ไม่ได้ก๊อบปี้แล้วชิ่งเปิดตัวตัดหน้าเฉพาะกับ iPhone เท่านั้นนะจ๊ะ แต่ก่อนหน้านี้ไม่นาน ก็ลอกเลียนแบบ GooPhone N2 ออกมา โดยมีหน้าตาคล้ายกับ Samsung Galaxy Note 2 อย่างกับแกะ เฮ้อ! สมาร์ทโฟนรุ่นไหนดังๆ ละก็ไม่มีพลาดจริง ๆ นะเนี่ย

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: http://iphone.kapook.com

ภาพประกอบจาก :: คุณ AndroidSale สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

Tags: GooPhone i5S, iPhone 5S, จีน

ผงชูรสไม่มีสารอันตรายอย่างที่คิด

          “โมโนโซเดียมกลูตาเมต” หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “ผงชูรส” คือสารที่ใช้เพิ่มรส “อูมามิ” ให้อาหาร ซึ่งรสอูมามิก็คือ รสชาติพื้นฐานที่ต่างจากรสเปี้ยว หวาน เค็ม ขม หรือจะเรียกอูมามิว่ารสอร่อยก็ได้ คณะกรรมการผู้เชียวชาญว่าด้วยวัตถุเจือปนอาหารและคณะกรรมาธิการกฏหมายอาหารขององค์การอาหารและเกษตร ร่วมกับองค์การอนามัยโลก แห่งสหประชาชาติ ได้ประเมินความปลอดภัยของผงชูรสจากงานวิจัยมากกว่า 200 รายงาน สรุปได้ว่า มนุษย์สามารถบริโภคผงชูรสได้ทุกๆ วันตลอดชีวิตอย่างปลอดภัย โดยไม่จำเป็นต้องกำหนดปริมาณบริโภคต่อวันด้วย

          ปัจจุบันการผลิตผงชูรสจะใช้วิธีหมักเชื้อจุลินทรีย์เพื่อให้ได้กรดกลูตามิค ซึ่งมีหลักการเดียวกับการนำเชื้อจุลินทรีย์มาใช้ในการผลิตอาหารจำพวก น้ำส้มสายชู ซีอิ๊ว น้ำปลา เบียร์ ไวน์ เป็นต้น ซึ่งทำให้ผงชูรสมีความบริสุทธิ์สูง และได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมกาอาหารและยา (อย.) และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ว่ามีความปลอดภัย สามารถบริโภคได้

          อย่างไรก็ตามก่อนซื้อมาบริโภคต้องดูให้ดีด้วยนว่าใช่ผงชูรสปลอมรึเปล่า ?

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: iKnowledge2 จาก Msolution

Tags: ผงชูรส, อูมามิ

ปลาทูน่าก็อันตราย

          กินปลาใครว่าดีเสมอไป อย่างปลาทูน่า นอกจากจะมีข้อดีแล้วยังมีข้อเสียด้วย หากเก็บรักษาไว้ไม่ดี เพราะปลาทูน่าที่ถูกเก็บไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 60 องศาเซลเซียส เนื้อปลาจะเกิดสารพิษชนิดหนึ่งเรียกว่า “สารพิษคอมโบรท็อกชิน” หรือ “อิสตามีน” สารพิษนี้ทำให้เกิดอาการแพ้ต่างๆ เช่น ผื่นคัน คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสีย

          ที่สำคัญสารพิษชนิดนี้จะไม่เปลี่ยนรสชาติและกลิ่นของปลาทูน่า ดังนั้นผู้บริโภคจะไม่รู้ตัวเลยว่ารับประทานปลาทูน่าที่มีสารพิษนี้เข้าไปแล้ว และที่สำคัญหากเกิดสารพิษนี้ในปลาทูน่าแล้ว แม้จะนำไปทำให้สุก สารพิษก็จะไม่หายไป

          ดังนั้น หากคุณจะกินปลาทูน่าควรเลือกปลาทูน่าที่บรรจุในภาชนะที่สะอาด และเก็บรักษาไว้ในอุณหภูมิที่ไม่เกิน 60 องศาเซลเซียส

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: iKnowlenge จาก Msolution

โยเกิร์ตนอกจากจะอร่อยแล้วยังมีประโยชน์มากมาย มารู้จักกับคุณประโยชน์ในโยเกิร์ตกันดีกว่า

          “โยเกิร์ต” นอกจากจะอร่อยแล้วยังมีประโยชน์มากมาย มารู้จักกับคุณประโยชน์ในโยเกิร์ตกันดีกว่า

โยเกิร์ตแก้ท้องเสียได้ เพราะเมื่อลำไส้มีเชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่ดีมาอาศัยอยู่จนทำให้เกิดอาการท้องเสีย การรับประทานโยเกิร์ตจะช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์เหล่านั้นได้ จึงทำให้อาการท้องเสียทุเลาลงและหยุดถ่ายในที่สุด

.
โยเกิร์ตช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ เพราะมีไขมันที่ช่วยดูแลการทำงานของหัวใจ

.
โยเกิร์ตแต่ละถ้วยจะมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอยู่มากถึง 11 ชนิด คือ ไอโอดีน, แคลเซียม, ฟอสฟอรัส, วิตามินบี 2, โปรตีน, วิตามินบี 12, ทริปโทฟาน, โพแทสเซียม, โมลิปเตนัม, สังกะสี, และวิตามินบิ 5

.
โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา เพราะลำไส้ของคนเราจะไม่สามารถย่อยนมได้ แต่ลำไส้สามารถย่อยโยเกิร์ตได้ เนื่องจากในโยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่ย่อยแคลเซียมให้เล็กลงส่วนหนึ่งแล้ว ดังนั้นร่างกายจึงดูดซึมสารอาหารในโยเกิร์ตไปใช้ได้ทันที ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารเพิ่มขึ้น

.
แลคโตบาซิลัสเป็นจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตที่ร่างกายต้องการ เพราะช่วยหยุดเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ ลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ ช่วยยับยังการเกิดจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก โยเกิร์ตจึงจำเป็นสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะช่วงที่มีรอบเดือน ควรรับประทานโยเกิร์ตเป็นประจำ

.
โยเกิร์ตยังช่วยป้องกันโรคกระดูพรุน ความดันโลหิตสูง มะเร็งลำไส้ ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ และช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายอีกด้วย

.
โยเกิร์ตช่วยให้ปากสะอาด เพราะกำจัดกลิ่นปากและป้องกันโรคเหงือกได้ด้วย

.

.
          การทานโยเกิร์ตที่ได้ผลที่สุดควรจะทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่ไม่มีการแต่งกลิ่น แต่งรส หรือเพิ่มน้ำตาลลงไป แต่ถ้าไม่ชอบความเปรี้ยวของมัน จะเอาไปทานแทนมายองเนสหรือปั่นรวมกับผลไม้ให้เป็นน้ำผลไม้อร่อยๆ ก็เป็นไอเดียที่ดี

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: iKnowledge จาก Msolution

ประวัติศาสตร์แท็กซี่ประเทศไทย

 

          สมัยก่อนเวลาจะเรียกใช้บริการแท็กซี่นี้ต้องคุยกันเยอะหน่อย กว่าล้อจะหมุนนี้ต้องใช้เวลาคุยนานหน่อย เพราะว่าไม่มีมิเตอร์ให้กดอย่างในปัจจุับัน พอมาเวลานี้รถรุ่นเก่าๆ แทบจะไม่มีให้เห็นแล้ว แม้ว่ากระทั่งจะจอดตายอยู่ก็ตาม ผมตั้งใจสร้างบล็อกนี้เพราะต้องการจะถ่ายทอดเรื่องของรถแท็กซี่ของไทยในอดีตให้คนรุ่นใหม่ได้รับทราบประวัติความเป็นมากันไว้บ้าง เผื่อจะเล่าให้หลานๆ เหลนๆ เขาฟังกัน

แท็กซี่

          “แท็กซี่” (Taxi) เป็นการโดยสารสาธารณะประเภทหนึ่งสำหรับผู้โดยสารคนเดียวหรือกลุ่มเล็กๆ รถแท็กซี่เป็นยานพาหนะไว้สำหรับว่าจ้างโดยผู้ขับจะส่งผู้โดยสารระหว่างที่หนึ่งไปยังที่หนึ่งตามที่ผู้โดยสารอยากจะไป

          “แท็กซี่” เป็นคำย่อมาจาก “แท็กซี่แค็บ” (Taxicab) คิดค้นโดย “แฮร์รี่ เอ็น อัลเลน” นักธุรกิจชาวนิวยอร์กที่นำเข้ารถแท็กซี่มาจากฝรั่งเศส โดยย่อมาจากคำว่า” แท็กซี่มิเตอร์ แค็บ” (Taximeter cab) อีกที

          ส่วนคำว่า “cab” มาจากคำว่า “cabriolet” คือรถม้าลากจูง และคำว่า “taxi” เป็นรากศัพท์ภาษาละตินในยุคกลาง ซึ่งมาจากคำว่า “taxa” ที่หมายถึงภาษีหรือการคิดเงิน และคำว่า “meter” มาจากภาษากรีกคำว่า “metron” แปลว่า “วัดระยะทาง”

รถแท็กซี่คันแรกของเมืองไทย

          รถแท็กซี่เมืองไทยมีวิวัฒนาการที่น่าสนใจไม่น้อย คุณเทพชู  ทับทอง ได้เขียนเล่าไว้ว่า คำว่า “แท็กซี่” เพิ่งจะมาได้ยินเมื่อ 20 – 30 ปีที่ผ่านมานี้เอง แต่ก่อนชาวพระนครเรียกรถแท็กซี่ว่า “รถไมล์” เมื่อราว พ.ศ. 2467  –  2468 พระยาเทพหัสดิน ณ อยุธยา (ผาด) เป็นผู้เริ่มกำหนด “แท็กซี่” ครั้งแรกในเมืองไทย โดยนำเอารถยี่ห้อออสตินขนาดเล็กออกวิ่งรับจ้าง โดยติดป้ายรับจ้างไว้ข้างหน้าข้างหลังของตัวรถ ซึ่งคนขับรถในสมัยนั้นส่วนใหญ่เป็นพวกทหารอาสา หลังสงครามโลกครั้งที่ 1

          สำหรับค่าโดยสารคิดเป็นไมล์ โดยตกไมล์ละ 15 สตางค์ ซึ่งนับว่าแพงมากเมื่อเทียบราคากับค่าโดยสารในปัจจุบัน 

          รถแท็กซี่ในสมัยบุกเบิกใหม่ๆ นั้น มีอยู่เพียง 14 คัน ในปี 2469 แต่ถึงมีจำนวนน้อย ก็ประสบปัญหาการขาดทุน จนต้องเลิกกิจการ ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ว่าค่าโดยสารแพง ผู้ใช้บริการยังไม่คุ้นเคยจึงไม่ยอมนั่ง ประกอบกับกรุงเทพฯ ยังมีขนาดเล็ก และมีรถรับจ้างอื่นๆ เช่นรถเจ็กอยู่มาก และราคาถูก

          หลังจากเลิกกิจการไปแล้ว กรุงเทพฯ ก็ไม่มีรถแท็กซี่อีกเลย จนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2490 มีผู้นำรถยนต์นั่งมาให้บริการในลักษณะรถแท็กซี่ ซึ่งได้รับความนิยมจนมีการจัดตั้งเป็นบริษัทเดินรถแท็กซี่ขึ้นมา ใน 3 – 4 ปีต่อมา โดยคิดค่าโดยสารกิโลเมตรละ 2 บาท รถที่นำมาบริการในช่วงนั้นเป็นรถยี่ห้อเรโนลต์ เครื่องท้ายคันเล็กๆ

          คุณเทพชูฯ บอกว่า คนกรุงเทพฯ สมัยนั้นเรียกแท็กซี่ว่า “เรโนลต์” ซึ่งเป็นจุดเริ่มความสำเร็จของการเดินรถแท็กซี่ เพราะเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เนื่องจากยังมีรถจำนวนน้อย คนนิยมนั่ง สะดวก รวดเร็วกว่ารถจักรยานสามล้อถีบ ซึ่งมีชุกชุมในยุคนั้น ด้วยเหตุนี้ทำให้อาชีพขับรถแท็กซี่เป็นที่ฮือฮา มีผู้นำรถเก๋งไปทำเป็นรถแท็กซี่กันมาก จนระบาดไปต่างจังหวัด จนต้องมีการควบคุมกำหนดจำนวนรถมาจนถึงปัจจุบัน

          สำหรับรถที่นำมาเป็นรถแท็กซี่นั้น หลังจากเรโนลต์เริ่มเสื่อมสภาพไปตามอายุการใช้งานแล้ว ได้มีการนำรถออสตินแวนสองประตูสีเทามาใช้แทน ต่อมาเปลี่ยนมาเป็นรถดัทสันบลูเบิดหรือรถเก๋งฮีโน่ เครื่องท้ายตามกำลังทรัพย์ของแต่ละบริษัทจนกระทั่งเป็นรถโตโยต้า รถแลนเซอร์แชมป์ เนื่องจากรถแท็กซี่นั้นบุคคลธรรมดาอาจเป็นเจ้าของได้ บางครั้งจึงอาจพบเห็นรถแท็กซี่ที่ใช้รถฮอนด้าหรือรถเปอร์โยต์นำมาเป็นรถแท็กซี่ด้วย สำหรับรถแท็กซี่ในเมืองไทยในปัจจุบันเป็นรถปรับอากาศ ติดมิเตอร์ และมีวิทยุสื่อสาร

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: http://thailandtaxiservices.blogspot.com/2013/03/blog-post.html

ภาพประกอบจาก : http://toyota-thai-taxi.blogspot.com/2013/01/blog-post.html

ประวัติความเป็นมาของ “ไอศกรีม”

          เมื่อเอ่ยถึงไอศกรีมเชื่อว่าหลายคนคงไม่มีใครไม่รู้จัก เป็นของหวานที่ทุกเพศทุกวัยต่างชื่นชอบ แต่กว่าจะมาเป็นไอศกรีมที่เรากินกันอยู่นี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร มาดูกัน

          ไอศกรีมถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในประเทศจีน เมื่อ 4,000 ปีที่ผ่านมา ในตอนแรกที่ผลิตออกมานั้นจะดูเหมือนนมขุ่นๆ แช่แข็งมากกว่า เนื่องจากในขณะนั้นจีนได้มีการรีดนมจากสัตว์เลี้ยงในฟาร์ม นมจึงเป็นอาหารที่มีราคาค่อนข้างสูง พวกชนชั้นสูงจึงนำนมไปหมกไว้ในหิมะให้กลายเป็นนมแช่แข็ง

          ต่อจากนั้นจึงมีการพัฒนาโดยการทำน้ำผลไม้แช่แข็งกินกัน นมและผลไม้แช่แข็งจึงแพร่หลายไปยังประเทศอิตาลีและฝรั่งเศส เนื่องในพิธีอภิเษกสมรสของกษัตริย์เฮนรี่ที่ 2 ได้มีการเสริฟของหวานแช่แข็งและของหวานกึ่งแช่แข็งซึ่งมีลัษณะคล้ายไอศกรีมในปัจจุบัน

          หลังจากนั้นหมอชาวสเปนได้พบเทคนิคพิเศษในการทำไอศกรีมแช่แข็ง คือ การลดอุณหภูมิของส่วนผสม ลดลงจนถึงจุดเยือกแข็ง และเติมดินประสิวลงในหิมะหรือน้ำแข็งที่อยู่รอบถัง ชาวฟรอเรนซ์จึงเป็นคนเริ่มทำของหวานแช่แข็งชนิดแรกของโลก

          ไอศกรีมเข้าสู่สหรัฐอเมริกาเมื่อศตวรรษที่ 1800 ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย ซึ่งเป็นเมืองหลวงของไอศกรีม เนื่องจากผลิตได้จำนวนมาก และที่นี่ก็ยังเป็นถิ่นกำเนิดของไอศกรีมโซดาและไอศกรีมโฟลตอีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: iKnowledge จาก Msolution

Tags: ที่มาของไอศกรีม, ประวัติความเป็นมาของไอศกรีม, ประวัติไอศกรีม, ไอศกรีม

น้ำหวานแก้เครียดน้ำมะนาวแก้เจ็บคอ

          ตอนเช้าๆ หากตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการมึนศีรษะเพราะความเครียด หรือหากมีอาการเจ็บคอร่วมด้วย มีวิธีแก้ไขมาฝาก ส่วนใหญ่ผู้ที่นอนดึกจะตื่นมาพร้อมกับยามเช้าที่มีอาการปวดศีรษะ มึนศีรษะ ซึ่งเกิดจากความเคียดทางประสาทเพราะร่างการพักผ่อนไม่เพียงพอ

          ควรแก้ไขด้วยการรับประทานอาหารเช้าที่มีแป้งหรือน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลักก็จะช่วยได้ เพราะร่างกายจะดูดซึมน้ำตาลได้ดีและง่าย ซึ่งหากจะให้ง่ายกว่านั้นควรดื่มน้ำหวานสักแก้ว ก็จะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดและมึนงงได้ดีที่สุด และหากว่าเช้านี้มีอาการเจ็บคอร่วมด้วยให้นำมะนาวมาผ่าซีกและคั้นเฉพาะน้ำออกมาจิบ กรดซิตริกและวิตามินซีจะช่วยขับเสมหะและแก้เจ็บคอได้ดี แถมกลิ่นหอมอ่อนๆ จากเปลือกมะนาวที่ถูกคั้นยังช่วยให้ความรู้สึกผ่อนคลายอีกด้วย

          ใครที่ตื่นมาแล้วไม่สดชื่นลองดื่มน้ำหวานสักแก้วแล้วคั้นมะนาวสดๆ จิบดูจะช่วยได้

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: iKnowlegde จาก Msolution

Tags: น้ำมะนาว, น้ำหวาน, แก้เครียด, แก้เจ็บคอ

นางเงือก สวยจริงเหมือนในตำนานหรือไม่

          ภาพเจ้าหญิงเงือกแสนสวยที่มีผมยาวปลิวไสว และมีหางเหมือนปลานั้นเป็นที่ติดตาตรึงใจของผู้คนมากมาย

          แต่จริงๆ แล้วเงือกเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในทะเลเรียกว่า “พะยูน” ไม่ใช่สัตว์ประเภทปลา แต่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และหน้าตาค่อนข้างขี้เหร่ด้วย นิสัยของพะยูนนั้นจะอุ้มลูกไว้ที่อกให้กินนมในท่ากึ่งนอน ทำให้ส่วนหัวและส่วนหน้าอกโผล่พื้นผิวน้ำจนดูเหมือนท่าทางของหญิงสาวกำลังให้นมลูกอยู่ ดังนั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยในทะเลชอบอยู่โดดเดี่ยวตัวนี้ จึงกลายเป็นเงือกในตะนานไป

          พะยูนเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทวัวทะเล เมื่อก่อนอาศัยอยู่บนบก แต่เมื่อพื้นดินเปลี่ยนเป็นพื้นน้ำ พะยูนก็ลงไปอาศัยอยู่ในน้ำ เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปร่างกายของมันจึงเปลี่ยนคล้ายปลา ขาหน้าเปลี่ยนเป็นครีบ ขาหลังหายไป หางก็เปลี่ยนไปคล้ายหางปลา มีกระเพาะถึงสี่กระเพาะ ระบบย่อยอาหารก็ดีมาก ดั้งนั้นวันหนึ่งๆ มันจึงเอาแต่เคี้ยวพืชจำพวกสาหร่ายและหญ้าทะเล

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: iknowledge2 (ความรู้รอบตัว) จาก Msolution

Tags: นางเงือก, พะยูน