ทำไมม้าต้องยืนหลับ ?

          ม้ายืนหลับได้เช่นเดียวกับวัวและแกะ บรรพบุรุษของมันคือ “ม้าป่า” อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ จึงถูกจู่โจมจากสัตว์ป่าที่ดุร้ายเสมอ ม้าป่าไม่มีอาวุธป้องกันตัวเหมือนสัตว์บางประเภท แต่อวัยวะในการรับรู้ของม้าเจริญพัฒนาไปมาก คือ ม้ามีตาโตและอยู่ในตำแหน่งสูง บวกกับคอที่ค่อนข้างยาว ทำให้มองเห็นได้ไกล แม้ว่าก้มลงกินหญ้าก็ยังรู้สึกถึงภัยรอบตัวได้ มันจึงต้องระแวดระวังตลอดเวลา แค่เพียงลมพัดต้นหญ้ามันก็วิ่งหนีไปได้อย่างรวดเร็ว

          ด้วยเหตุนี้มันจึงสืบทอดนิสัยยืนหลับมาจากบรรพบุรุษ ระบบประสาทของม้าพัฒนาไปมาก มีสัญชาติญาณ ความจำ และการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยม การรับรู้ทิศทางก็ดีมาก มันจึงหาทางกลับบ้านได้ และเพราะมีความจำและการรับรู้ทางสายตาที่ดี หากได้พบสถานที่หรือสิ่งที่เคยทำให้มันกลัวอีกเป็นครั้งที่สอง มันก็จะหวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้อีก

          ในทุกๆ วัน ม้าต้องเดินเป็นระยะทางไกล กล้ามเนื้อใต้กีบเท้าของม้าจึงถูกทำลายได้ง่าย ซึ่งจะเกิดผลกระทบต่อการเดิน คนจึงใส่เหล็กเกือกม้าเพื่อป้องกันกีบม้าไว้

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: iKnowledge จาก Msolution

Tags: ม้า, ม้ายืนหลับ

ทำไมพระไทยจึงต้องโกนคิ้ว

          เรื่องการโกนคิ้วของผู้ที่จะบวชเป็นพระนั้นไม่ปรากฏในพระวินัย จะโกนหรือไม่โกนก็ดี ถ้าสังเกตจะเห็นว่าพระสงฆ์ในประเทศอื่นๆ จะไม่โกนคิ้ว แต่พระสงฆ์ไทยเรานั้นจะต้องโกนคิ้ว สาเหตุที่พระไทยต้องโกนคิ้วยังไม่มีหลักฐานยืนยันที่แน่นอน มีแต่เรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า

         ในสมัยกรุงศรีอยุธยาที่ไทยรบกับพม่า พม่าได้ส่งทหารปลอมตัวเป็นพระลอบเข้ามาสืบข่าวความเคลื่อนไหวในพระนคร ดังนั้นเพื่อให้เกิดความแตกต่างและรู้ว่าพระองค์ไหนเป็นพระไทยที่แท้จริง พระเจ้าอยู่หัวจึงรับสั่งให้พระไทยโกนคิ้วทิ้ง ส่วนพระที่ไม่ได้โกนคิ้วก็แสดงว่าเป็นพวกพม่า ให้จับตัวไปสอบสวนได้ทันที หลังจากนั้นเป็นต้นมาผู้ที่บวชเป็นพระก็จะต้องโกนคิวออก และการโกนคิ้วของพระสงฆ์ไทยก็ได้ถือเป็นวัตรปฏิบัติสืบต่อกันมากระทั่งถึงปัจจุบัน

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: iKnowledge จาก Msolution

Tags: พระ, พระไทย, พระไทยโกนคิ้ว

ทำไมพระสังกัจจายน์จึงมีพุงพลุ้ย

          เคยสงสัยมั้ยครับว่าทำไม “พระสังกัจกายน์” จึงมีรูปร่างอ้วนพุงพลุ้ยไม่เหมือนกับพระพุทธรูปปางอื่นๆ

          “พระสังกัจจายน์” หรือ “พระมหากัจจายนะ” เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ท่านเป็นเอตทัคคะในทางอธิบายพุทธพจน์ที่ตรัสไว้โดยย่อให้พิสดาร ท่านเป็นบุตรของพราหมณ์ปุโรหิตประจำราชสำนัก เดิมท่านมีชื่อว่า “กัญจนะ” แปลว่ามีรูปร่างสวยงาม เมื่อท่านมีโอกาสเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ฟังพระธรรมเทศนาก็เกิดบรรลุอรหันผล ได้อุปสมบทโดยเอหิภิกขุอุปสัมปทา

          และด้วยความที่ท่านมีรูปงามมีผิวเหลืองนวล ทำให้พระภิกษุองค์อื่นๆ เห็นแต่ไกลและมักเข้าใจผิดคิดว่าพระกัญจนะเป็นพระพุทธเจ้า มีอยู่ครั้งหนึ่งเกิดเหตุประหลาดขึ้น มีเศรษฐบุตรคนหนึ่งเห็นพระมหากัจจายนะแล้วนึกถึงอกุศลว่า หากตนได้ภรรยาที่มีรูปร่างงามอย่างท่านก็คงจะดี ทันใดนั้นเองเขาก็ได้กลายเป็นหญิงขึ้นมาทันที ทำให้เขาอับอายจนต้องย้ายจากถิ่นที่อยู่เดิมไปอยู่เมืองอื่น ในกาลต่อมาเศรษฐบุตรผู้นี้ได้มาขอขมาพระมหากัจจายนเถระ จึงได้กลับกลายเป็นเพศชายดังเดิม

          ตั้งแต่นั้นมา พระมหากัจจายนเถระได้อธิษฐานให้ร่างกายของท่านอ้วนพุงพลุ้ยไม่สวยงามเหมือนก่อน เพื่อไม่ให้เกิดเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพระพุทธเจ้าและผู้คนที่เห็นท่านไม่เกิดอิจฉาริษยา ตั้งแต่นั้นมาทุกคนก็จดจำลักษณ์ที่อ้วนพุงพลุ้ยของท่าน และแม้อนุสรณ์เมื่อท่านมรณภาพลง ชาวบ้านก็สร้างรูปปั้นให้มีรูปร่างอ้วนท้วนพุงพลุ้ยและเรียกท่านว่า “พระสังกัจจายน์”

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: iKnowledge จาก Msolution

ทำไมนักฟุตบอลไทยเรียกกรรมการว่า “อาจารย์”

กรรมการฟุตบอลไทย

   หลายๆ คนต้องเคยได้ยินประโยคที่ว่า “ฟาล์วอาร์จาร” , “จาร แบบนี้ต้องเหลืองสิ” , “แฮนดิจาร” ทำไมนักฟุตบอลเขาถึงเรียก “ผู้ตัดสิน” ว่า “อาจารย์” กันนั้น มันมีจุดเริ่มต้นโดยที่..

     ผู้ตัดสินฟุตบอลไทยส่วนใหญ่จะจบจากวิทยาลัยพละศึกษากันมา ซึ่งเมื่อก่อนวิทยาลัยพละศึกษาจะมีแต่หลักสูตรครุศาสตร์ ซึ่งเรียนจบออกมาแล้วจะได้วุฒิครูนั่นเอง เลยทำให้นักฟุตบอลเรียกติดปากกันมาเรื่อยๆ มา

     ถึงแม้สมัยนี้วิทยาลัยพละศึกษาจะมีหลักสูตรวิทยาศาสตร์ , ศิลปศาสตร์ เพิ่มขึ้นมา แต่ก็ยังติดปากคำว่า “อาจารย์” กันจนถึงทุกวันนี้นี่เอง

Tags: กรรมการบอลไทย, กรรมการฟุตบอลไทย, อาจารย์

ทำไมทารกจึงไม่สำลักน้ำ

          เคยดูโฆษณาสินค้าของเด็ก เช่น สบู่ ยาสระผม แป้งเด็ก เป็นต้น และใช้ทารกดำน้ำเป็นพรีเซนเตอร์กันไหมครับ หลายคนสงสัยว่า เด็กทารกตัวเล็กนิดเดียวและยังไม่รู้ประสีประสา แต่ทำไมจึงดำน้ำได้?

          เหตุที่ทารกสามารถดำน้ำได้โดยไม่สำลักน้ำเนื่องจากประสาทสัมผัส โดยทันทีที่ใบหน้าทารกสัมผัสกับน้ำ เส้นประสาทบริเวณผิวหนังจะรับความรู้สึกและส่งความรู้สึกไปยังระบบประสาท ส่งผลให้ระบบประสาทสั่งงานให้เนื้อเยื่อบริเวณหลอดลมปิดทำให้ทารกไม่ลำลักน้ำโดยปฏิกิริยานี้ทารกจะรับรู้ได้เมื่อมีอายุตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป และก่อนที่เขาจะให้ทารกดำน้ำ เขาจะเอาน้ำฝักบัวรดบนศรีษะเด็ก ให้น้ำโดนหน้าเด็ก พอหน้าเด็กโดนน้ำ เด็กก็จะกลั้นหายใจ แล้วจึงค่อยจุ่มหน้าลงไปดำน้ำ

          ด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถฝึกให้เด็กดำน้ำได้ตั้งแต่เล็กๆและเห็นโฆษณาทางทีวีที่อนุญาตให้เด็กดำน้ำได้

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: ikonwlege2 จาก Msolution

Tags: ทารก, สำลักน้ำ

ทำไมต้องใช้แมวแห่ขอฝน

          ประเพณีแห่นางแมวเป็นพิธีขอฝนของพวกชาวบ้าน โดยเฉพาะภาคกลาง ปีใดที่ฝนมาล่าช้าหรือแล้งผิดปรกติ อันจะทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน พืชในไร่นาให้ผลไม่เต็มที่ อาจถึงกับทำให้เกิดภาวะข้าวยากหมากแพงได้ ชาวบ้านก็จะชุมนุมปรึกษาหารือกันเพื่อทำพิธีแห่นางแมวตามที่ทำสืบเป็นประเพณี เพราะเชื่อว่าภายหลังเมื่อแห่นางแมวแล้ว ไม่ช้าฝนก็เทลงมา

          ชาวบ้านจะจัดหาแมวตัวเมียตัวหนึ่งนำใส่ชะลอม เข่ง หรือตะกร้า สุดแต่จะหาได้ ที่สำคัญต้องมีฝาปิดแน่นหนากันแมวแหกออกมาได้ การแห่นางแมวนั้นจะแห่กันในตอนเช้าหรือตอนบ่ายก็ได้แล้วแต่ความสะดวก เอาไม้คานสอดเข้าไปในตะกร้าหามกันไป มีคนแห่แวดล้อมนางแมว คนหนึ่งถือพานนำหน้า ร้องเชื้อเชิญให้ใครๆ มาร่วมพิธีขอฝน พวกที่อยู่ในขบวนใครมีกลอง กรับ ฆ้อง ฉิ่ง ก็ถือติดมือมาบรรเลงด้วย เมื่อเคลื่อนขบวนแห่ ต่างก็ร้องบทแห่นางแมว ซึ่งมีข้อความผิดเพี้ยนกันไปแล้วแต่ท้องถิ่น บางบทมีถ้อยคำกระเดียดไปทางหยาบโลน เมื่อแห่ถึงบ้านใคร เจ้าของบ้านจะเอากระบวยตักน้ำสาดลงไปในชะลอมหรือตะกร้าที่ขังแมวอยู่ จากนั้นเจ้าของบ้านก็ให้รางวัลแก่พวกแห่ เป็นเหล้า ข้าวปลา ไข่ต้ม หรือของกินอย่างอื่น ส่วนมากมักให้เงินเล็กน้อยแก่คนถือพานนำหน้ากระบวนแห่ เสร็จแล้วก็เคลื่อนต่อไปยังบ้านอื่นๆ จนสุดเขตหมู่บ้านแล้วก็กลับมาชุมนุมเลี้ยงดูกันเป็นที่ครึกครื้น พร้อมทั้งปล่อยแมวให้เป็นอิสระ ถ้าฝนยังไม่ตก ก็ต้องแห่ช้ำในวันรุ่งขึ้นและวันต่อๆ ไปจนกว่าฝนจะตก

          พระยาอนุมานราชธน ปราชญ์ คนสำคัญของไทย ให้ข้อสังเกตว่า แมวเป็นสัตว์ไม่ชอบน้ำ โบราณจึงถือว่าเป็นตัวแล้ง เมื่อแมวถูกสาดน้ำเปียกปอน ก็จะหมดสภาพตัวแล้งไป ชาวบ้านคงถือเคล็ดตรงนี้จึงมีพิธีแห่นางแมวสืบต่อกันมา เรื่องสาดน้ำแมวเมื่อฝนแล้งเพื่อให้ฝนตก

          ไม่ใช่มีในประเทศไทยเท่านั้น ในเกาะสุมาตราบางท้องที่ก็มี ถ้าปีใดฝนแล้ง พวกผู้หญิงชาวบ้านต้องนุ่งน้อยห่มน้อย พากันลงไปลุยน้ำในแม่น้ำแล้วสาดน้ำรดกัน นอกจากนี้ยังจับแมวดำตัวหนึ่งโยนลงไปในน้ำแล้วปล่อยให้มันตะเกียกตะกายปีนตลิ่งหนี พอแมวขึ้นตลิ่งได้พวกผู้หญิงก็ไล่ตามและสาดน้ำรดมันพอเป็นพิธี บอกว่าทำอย่างนี้ฝนจะตก ทางเกาะชวามีประเพณีจับเอาแมวตัวผู้กับตัวเมียอย่างละตัวมาอาบน้ำ เชื่อว่าไม่ช้าฝนจะตก 

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: รู้หรือไม่ จาก Msolution

ข้อมูลสนับสนุนจาก :: หนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี

Tags: ขอฝน, ประเพณีแห่นางแมว, พิธีขอฝน, แมว, แมวขอฝน, แห่นางแมว, แห่แมว, แห่แมวขอฝน

ทำไมดาวจึงกระพิบ ?

.

          โดยทั่วไปแล้ว การที่รังสีของแสงสว่างผ่านสารชนิดหนึ่งไปอีกชนิดหนึ่ง ก็จะเกิดการเบี่ยงเบนหรือหักเหของแสง เมื่อเป็นเช่นนี้ รังสีของแสงเมื่อส่องผ่านชั้นของบรรยากาศ ซึ่งแต่ละชั้นมีอุณหภูมิแตกต่างกัน ทั้งยังเคลื่อนที่และเปลี่ยนแปลงความเร็วตลอดจนทิศทางอยู่ตลอดเวลาด้วยแล้ว แสงจะเกิดการหักเหไปมาเป็นลำดับติดต่อกันอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดภาพลวงตาให้เราเห็นเป็นดาวกระพริบ เพราะฉะนั้นการที่เรามองเห็นดาวกระพริบ ก็เพราะว่า รังสีของแสงที่เราเห็น จะต้องเดินทางผ่านบรรยากาศในลักษณะที่ไม่สม่ำเสมอและเคลื่อนไหวตลอดเวลานั่นเอง

          เหตุที่เรามองเห็นดวงดาวสุกใสในเวลากลางคืน ก็เพราะมีความมืดเป็นฉากอยู่เบื้องหลัง โดยเฉพาะช่วงข้างแรม จะทำให้เรามองเห็นดวงดาวได้เด่นชัดและสุกสวยเป็นพิเศษ

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: iKnowledge จาก Msolution

ทำไมจึงใช้หอยสังข์ในพิธีแต่งงาน

          เรามักเห็นการใช้หอยสังข์ในงานพิธีมงคลต่างๆ เช่น พระราชพิธีราชาภิเษก ตอนที่พระมหาราชครูผู้เป็นประทานคณะพราหมณ์ได้ถวายน้ำมหาสังข์แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และในงานพิธีมงคลต่างๆ ซึ่งจัดขึ้นในบ้านเรือนของประชาชนชาวไทยเรา เช่น งานมงคลสมรส เป็นต้น เรามักจะได้พบเห็นหอยสังข์ซึ่งใช้เป็นที่รดน้ำแก่คู่บ่าวสาว เพื่อจะให้อยู่เย็นเป็นสุข

          สาเหตุที่ใช้หอยสังข์ในงานพิธีมงคลต่างๆ เนื่องจากศาสนาพราหมณ์เชื่อว่าสังข์เป็นของศักดิ์สิทธิ์ มีสีขาว อีกทั้งเปลือกของหอยเวียนขวา เมื่อเทน้ำออกมา น้ำก็จะไหลเวียนขวาอันเป็นทิศที่เป็นมงคล

          แต่ก็มีความเชื่ออีกด้านหนึ่งว่ามาจากเรื่องเล่าปรัมปราว่า มียักษ์สังข์อสูรตนหนึ่ง ได้ขโมยและกลืนเอาพระเวทของพระพรหมเข้าไป แต่พระนารายณ์เป็นผู้ล้วงเอาพระเวททั้งหมดคืนมาทางปาก และสาปให้ยักษ์สังข์อสูรตนนั้นมีรูปร่างเป็นหอยสังข์ และจะต้องอยู่ในน้ำตลอดไป จนถึงเวลาที่มนุษย์จัดงานมงคล จึงจะจับหอยสังข์ขึ้นมาและให้ร่วมอยู่ในพิธีด้วย ดังนั้นการประกอบพิธีมงคลใดๆ หอยสังข์จึงกลายเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ เพราะหอยสังข์เคยเป็นที่บรรจุพระเวทต่างๆ ครบทุกพระเวทไว้ จึงเชื่อกันว่าสิ่งที่ออกมาจากหอยสังข์ทุกอย่างล้วนเป็นมงคล ไม่ว่าเป็นการรดน้ำสังข์ของคู่บ่าวสาว เพื่อให้เกิดเสียงที่นำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลนั่นเอง

          นอกจากนี้ พระนารายณ์ซึ่งเป็นเทพเจ้าของศาสนาพราหมณ์ ในแต่ละกรยังถือ คทา จักร สังข์ และดอกบัว ซึ่งคนไทยเราก็รับธรรมเนียมดังกล่าวมาจากศาสนาพราหมณ์ คนไทยมักใช้หอยสังข์ในงานพิธีต่างๆ โดยเฉพาะในพิธีมงคลสมรสที่ใช้หอยสังข์ในการรดน้ำให้กับบ่าวสาว เพราะเชื่อกันว่าหอยสังข์จะช่วยเสริมความเป็นสิริมงคลและนำความเจริญมาสู่บ่าวสาว นอกจากนี้ในการวางศิลาฤกษ์ต่างๆ ยังมีการเป่าสังข์ให้ได้ยินเสียง เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลอีกด้วย

 

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: iKnowledge จาก Msolution

Tags: พิธีแต่งงาน, รดน้ำสังข์, หอยสังข์

ทำไมจึงใช้น้ำมะพร้าวล้างหน้าคนตาย

          เมื่อถึงเวลาเผาศพมีการเอามะพร้าวผลหนึ่ง กระเทาะเปลือกแล้วต่อยเอาน้ำรดล้างหน้าศพในโลง อธิบายเชิงปริศนาธรรมว่า น้ำมะพร้าวมีเครื่องห่อหุ่มหลายชั้น เป็นของสะอาดผิดกับน้ำธรรมดา ซึ่งขุ่นระคนไปด้วยเมือกตม เปรียบด้วยกิเลสราคาที่ดองสันดานอยู่ ที่เอาน้ำมะพร้าวล้างหน้าศพก็หมายความว่า เอาสิ่งที่สะอาดจริงๆ ล้างสิ่งโสโครก เอากุศลกรรมล้างอกุศลกรรม

          มะพร้าวนั้น คติของคนอินเดียในมัธยมประเทศถือว่าเป็นผลไม้ศักดิ์เรียกว่า ‘ศรีผล’ หรือผลไม้ที่มีสิริ มะพร้าวเป็นเครื่องหมายของความอุดมสมบูรณ์มักมีไว้ที่แท่นบูชา ในหนังสือ Anthro pos. กล่าวถึงสันตยาสีตนหนึ่งที่เมืองบอมเบย์ เมื่อรู้ตัวว่าจะตายก็สั่งให้พวกศิษย์พยุงตนขึ้นนั่งในหลุม ซึ่งขุดเตรียมไว้และโรยเกลือไว้ทั่ว พอจวนจะสิ้นใจ ศิษย์คนหนึ่งเอามะพร้าวห้าวหรือหินกระแทกศรีษะสันตยาสีอย่างแรง เพื่อให้ขม่อนแยกอาตมันจะได้หนีออกทางนั้นไปทางเบื้องสูง ถ้าไม่เช่นนั้นเวลาตาย อาตมันจะหนีออกทางทวารหนัก ถือว่าเป็นเรื่องไม่ดีเป็นเครื่องหมายคนบาป เรื่องต่อยขม่อนให้แตกมักทำแก่ผู้ตายที่เป็นสันตยาสีเหมือนกัน เพราะถือว่าโยคีเข้าโยคะเป่ง ถึงกับขม่อมประทุเพื่อให้อาตมันออกไป

          เรื่องทุบกระโหลกมะพร้าวของไทยคงได้รับอิธิพลนี้จากพวกฮินดู แทนที่จะต่อยกระโหลกคนก็ต่อยกระโหลกมะพร้าวแทน

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: iKnowledge2 (ความรู้รอบตัว) จาก Msolution

Tags: น้ำมะพร้าว, น้ำมะพร้าวล้างหน้าคนตาย, ล้างหน้าคนตาย

ทำไมจึงเรียกเลข 2 ว่าโท

    แต่ก่อนในอดีตเรามักเรียกเลข 2 ของหมายเลขโทรศัพท์ว่า “โท” เนื่องจากเรียกตามทหารเรือ เพราะตามปกติเรือที่ปฏิบัติงานอยู่กลางทะเลย่อมมีเสียงคลื่นลมและเครื่องจักรรบกวนการสั่งงานอยู่เสมอ การพูดจาตอบโต้จึงต้องตะโกนหรือใช้เสียงดังกว่าปกติ และบางครั้งการออกเสียงพยัญชนะหรือเสียงสระที่คล้ายคลึงกันทำให้การได้ยินเกิดความคลาดเคลื่อนขึ้นได้ เช่น “เอ็ด” ซึ่งคล้ายกับ “เจ็ด” และ “สอง” ที่เป็นเสียง “ส” เช่นเดียวกับ “สาม” ทำให้ทหารเรือมักได้ยินคลาดเคลื่อน

          เพื่อความถูกต้องและชัดเจน ทหารเรือจึงออกเสียง “หนึ่ง” แทน “เอ็ด” เสมอ เช่น 11 อ่าน สิบหนึ่ง, 21 อ่าน ยี่สิบหนึ่ง ส่วนเลข 2 ทหารเรือจะออกเสียงว่า “โท” แทน ซี่งได้คำว่า “โท” มาจากวรรณยุกต์ในภาษาไทยที่เรียงลำดับจาก เอก โทร ตรี จัตวา ซึ่งลำดับที่ 2 เป็นคำว่า “โท” ด้วยเหตุนี้จึงเรียกเลข 2 เป็นคำว่า “โท” และต่อมาศัพท์ของทหารเรือได้เผยแพร่มายังภายนอก เมื่อกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธินทรงนำโทรศัพท์แบบต่อเอง (Automatic Telephone System) มาใช้ในประเทศไทย คนทั่วไปจึงพลอยเรียกหมายเลขโทรศัพท์ที่มีเลข 2 ว่า “โท” ไปด้วย เพื่อกันความผิดพลาดเวลาที่ต้องบอกหมายเลขโทรศัพท์ซึ่งมีเลขหลายตัว

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: iKnowledge จาก Msolution

Tags: 2, เลข 2, เลข 2 ของหมายเลขโทรศัพท์, เลขสอง, เลขโท, โท